วันนี้เราจะเดินทางไปโรงละครกัน นั้นก็คือ โรงละครช้าง ซึ่งอยู่ใกล้กับ มหาวิทยาลัยของเรานั้นเอง
ถ้ายังจำกันได้ ก็คือโรงละครที่เคยพูดถึงตั้งแต่สัปดาห์แรกๆของการเรียน และวันนี้ ก็จะเป็นวันที่เจอ " อ.พิเชษฐ กลั่นชื่น " เจ้าของโรงละครช้าง กันค่ะ
เราออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยกัน ตอนห้าโมงเย็น และ ไปถึงที่นั้นประมาณห้าโมงครึ่ง
เราเดินทางกันด้วยวิธี นั่งรถกะป้อจากหน้ามอ แล้วไปลงตลาด 61 กัน จากนั้นก็เดินต่อเข้าไปในซอยอีกประมาณ 300 เมตร ซึ่งค่าใช้จ่ายการเดินทางทั้งหมด 6 บาทถ้วน!!!
ก่อนไปถึงแอบจินตนาการว่าจะโรงละครใหญ่โตแน่เลย แต่ปรากฏว่า โรงละครมีลักษณะเป็นบ้าน ซึ่งถ้ามองจากข้างนอกโดยผิวเผิ่น คนทั่วไปคงไม่รู้แน่ๆว่า ที่นี่คือเป็นโรงละคร 5555 แต่พอเข้าไปภายในบ้าน ก็พบห้องที่ดัดแปลงเป็นห้องซ้อมโรงละครขนาดเล็ก แต่พอเข้าไปเเล้วเหมือนกำลังอยู่ในโรงละครจริงๆเลย แต่แอบเสียดายที่เล็กไปหน่อย เลยไม่เพียงพอสำหรับ จำนวนคนในClass เราซักเท่าไหร่
เเละในที่สุดเราก็เจอ " อ.พิเชษฐ กลั่นชื่น " ตัวเป็นๆ ซะที
อาจารย์เล่าเรื่องราวที่เคยไปแสดงต่างประเทศให้ฟังคร่าวๆ และ แนวคิดการนำไฟมาแสดงร่วมกันการแสดง และคำพูดประโยคหนึ่งของอาจารย์ที่รู้สึกประทับใจมากๆ ก็คือ "บนเวที ไฟ ไม่ได้มีหน้าที่ให้แสงสว่าง มันสามารถให้ความหมายได้ ถ้าคุณสามารถทำได้อย่างนั้น คุณคือ artist ไม่ใช่ช่างไฟ"
ฟังแล้วรู้สึกว่า โห หลอดไฟธรรมดาๆสามารถสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้การเต้นได้ขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย
เป้าหมายของการไปครั้งนี้ก็คือ การไปคุยกับ อ. เกี่ยวกับ Concept ของงานชิ้นนี้ และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การนำความรุ้ที่เราเรียนมาตลอดเทอม มาประยุกต์ใช้กับงานจริงๆ ที่ใช้จริงๆ ฟังแล้วก็รู้สึก ภูมิใจ ว่าเฮ้ยยงานเราจะได้เอาแสดงบนเวทีระดับโลกเลยหรอเนี่ย
อ.พิเชษฐ เริ่มเล่า Concept การแสดงครั้งนี้ และสิ่งที่อยากให้พวกเรามาช่วยทำกัน เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เลยเล่นการแสดง บางScene ให้เราดูกัน ลองดูกันได้ตาม VDO ด้านล่างนี่ได้เลยคะ
เป็นไงกันบ้างคะ กับการแสดงชุดนี้ สำหรับดาว อยากบอกว่าดูจบเสร็จ "งง" มากเลย 55555 เพราะการแสดง Abstract มากๆ ยากเกินกว่า Engineer อย่างพวกเราจะเข้าใจ 55555 แต่พออาจารย์ค่อยๆเริ่มเฉลยว่า เป็นการสื่อถึงอะไร ก็ทำเข้าใจมากขึ้น ซึ่งเรื่องแบบนี้มันขึ้นกับ "ประสบการณ์" ของแต่ละคนนั้นเอง สงสัยเรายังอ่อนหัด และอ่อนประสบการณ์ไปนี่เอง 5555
อาจารย์ยังเล่าต่อว่า ตอนเราอยู่บนเวที เราไม่สามารถอนาจารทางร่างกายบนเวทีได้ แต่เราสามารถทำอนาจารกับความรู้สึกคนดูได้
โดย Concept ของการแสดงชุดนี้ มาจากเรื่องคือ นายใน นั้นเอง หลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร ? ก็ลอง Search ดูได้ใน Internet หรือไม่ก็อ่านตาม Pantip ก็ได้ ก็น่าจะทำให้เข้าใจในการแสดงชุดนี้มากขึ้น
และรูปด้านล่าง คือ การ Design ชุดการแสดงคร่าวๆโดยพี่โบว์ โดย นักแสดงจะเป็นผู้ชายทั้งหมด และชุดที่ใส่จะทำจากพลาสติกใส และ ใช้ LED ไปติดประดับบนชุดตามรูปเลย
โดยเราจะนำ Sensor ไปติดตามจุดต่างๆ เเละ เมื่อ นักแสดง ทำการ interactive ในรูปแบบต่างๆ ก็จะนำไปสู่รูปแบบการแสดงไฟของหลอด LED ที่แตกต่างกันคะ
My Opinion:
จริงแล้วๆ การนำ เทคโนโลยี อย่างเช่น การใช้ sensor กับการแสดงนั้น จริงๆแล้วใน Dev โปรแกรมนั้นไม่ได้ยาก เพียงแต่ วิศวกรส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีหัวศิลปะกันซะเท่าไหร่ ผลงานที่ออกมาเลยไม่ค่อยน่าสนใจ แต่ถ้าหาก เอา Artist กับ Engineer มาทำงานร่วมกัน เชื่อได้เลยว่า งานที่ออกมา จะสวยและน่าตื่นเต้นแน่นอน เพราะไอเดีย หรือ Gimmick จาก Artist จะสามารถสร้างได้ง่ายๆด้วย Engineer อย่างเรานี่เอง
ถ้าหากใครสนใจ ก็ลองไปชมการซ้อมการแสดงได้นะคะ แต่ก็ควรลองโทรไปถามหรือนัดซักนิดนะคะ เพราะไม่เช่นนั้นนอาจจะ ไปเสียเที่ยวได้ อิอิ เพราะ อ.ออกไปแสดงต่างประเทศค่อนข้างบ่อยคะ
วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557
Lecture 8
และแล้ว...วันนี้ก็ถึงวันที่แต่ละกลุ่มนำ prototype ของแต่ละกลุ่มออกมาแสดงให้กันนะคะ แล้วยังจำได้ไหมคะ..ว่ากลุ่มของพวกเราทำอะไร? ติ๊ก...ต๊อก...ติ๊ก...ต๊อก คำตอบก็คือ Hug me please!
Idea
ไอเดียของกลุ่มของเราก็คือ... "การกอดของคุณสามารถเปลี่ยนเป็นแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่ชาวเขาได้" นั่นเอง
Background
ทีมาของไอเดียพวกเราก็คือ ชาวเขาที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง มีปัญหาใหญ่เรื่อง ไฟฟ้าไปไม่ถึง เเละนั้นก็ที่มาที่ทำให้พวกเราอยากจะทำ project อะไรก็ได้ ที่สร้างแสงสว่างให้แก่ชาวเขา ดังนั้น อุปกรณ์หลักในครั้งนี้ก็คือ หลอด LED และสิ่งที่แสดงออกถึงความห่วงใย และ กำลังใจแก่ชาวเขาได้ดี ก็คือ "การกอด" เเละนี่จึงเป็นที่มาของ project Hug me please! ของพวกเรา :)
Scenario
เมื่อมีผู้เดินผ่านมาพื้นที่ที่กำหนด ก็จะส่งเสียงว่า .. Hug me please! Hug me please! เพื่อเรียกร้องความสนใจ
และนั้นก็จะสร้างความสงสัยแก่ผู้เดินผ่านว่า เสียงนั้นมาจากไหน ? แล้วเมื่อมองหา ก็จะพบเจอกับ ตุ๊กตาตัวใหญ่ ที่ร้องเรียก.. เเละด้วยความสงสัยผู้เดินผ่านก็จะลองเดินเข้าไปกอดตามเสียงที่เรียกร้องหา และตอนนั้นเอง แสงสว่างจาก LED ก็สว่างขึ้น ด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตามแรงกอด..
ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ลองตามไปดูคลิปตามลิงค์ด้านล่างได้เลยจ้า...
http://www.youtube.com/watch?v=u2DKXEiGHKs
Equipment
อุปกรณ์หลักๆที่ใช้ในโปรเจคนี้ ก็มีดังนี้คะ
1.LED Strips เป็นพระเอกของproject นี้ ใช้สำหรับสร้างแสงสว่าง
2. Arduino เป็น micro controller สำหรับควบคุมการทำงานทั้งหมด
3.IR เป็น sensor วัดระยะ โดยจะใช้เช็คว่ามีคนเดินผ่ามาในบริเวณนี้หรือไม่
4.MP3 shield เป็นส่วนที่เก็บและส่งเสียงเพลงออกมา
5.Flex sensor เป็นsensor ที่เราเอามาใช้วัดแรงกอด
หลักการทำงาน
เราจะใช้IR sensor (Infrared Sensor ) ในการตรวจเช็คว่า มีคนเดินผ่านในบริเวณนี้ หรือไม่ ?
โดย IR จะ return ค่ามาเป็นค่า analog แสดงระยะความใกล้ไกล
ซึ่งเมื่อถ้ามีคนเดินผ่านมา บริเวณที่ใกล้ตุ๊กตาของเรา ก็จะทำให้ mp3 shield เริ่มทำงาน
และภายใน mp3 shield ก็ได้ใส่ไฟล์เสียง Hug me please เอาไว้ และก็ทำให้ผู้ที่เดินผ่านเข้ามากอดตุ๊กตาของเรา
อีกทั้งภายในตุ๊กตาของเรา ก็ได้ติด flex หรือ force sensor เอาไว้ ทำให้เมื่อเวลาผู้เล่นกอด เท่ากับ เป็นแรงกด ซึ่ง flex หรือ force sensor นี้จะรับ input เข้่ามาเป็น analog จากนั้น เราก็นำค่า analog มาให้ส่งการกำหนด ค่า แสงสว่าของ LED ซึ่งถ้ายิ่งกอดเเรงมาก ก็ยิ่งสว่างมากคะ :)
Scenario
Idea
ไอเดียของกลุ่มของเราก็คือ... "การกอดของคุณสามารถเปลี่ยนเป็นแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่ชาวเขาได้" นั่นเอง
Background
ทีมาของไอเดียพวกเราก็คือ ชาวเขาที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง มีปัญหาใหญ่เรื่อง ไฟฟ้าไปไม่ถึง เเละนั้นก็ที่มาที่ทำให้พวกเราอยากจะทำ project อะไรก็ได้ ที่สร้างแสงสว่างให้แก่ชาวเขา ดังนั้น อุปกรณ์หลักในครั้งนี้ก็คือ หลอด LED และสิ่งที่แสดงออกถึงความห่วงใย และ กำลังใจแก่ชาวเขาได้ดี ก็คือ "การกอด" เเละนี่จึงเป็นที่มาของ project Hug me please! ของพวกเรา :)
Scenario
เมื่อมีผู้เดินผ่านมาพื้นที่ที่กำหนด ก็จะส่งเสียงว่า .. Hug me please! Hug me please! เพื่อเรียกร้องความสนใจ
และนั้นก็จะสร้างความสงสัยแก่ผู้เดินผ่านว่า เสียงนั้นมาจากไหน ? แล้วเมื่อมองหา ก็จะพบเจอกับ ตุ๊กตาตัวใหญ่ ที่ร้องเรียก.. เเละด้วยความสงสัยผู้เดินผ่านก็จะลองเดินเข้าไปกอดตามเสียงที่เรียกร้องหา และตอนนั้นเอง แสงสว่างจาก LED ก็สว่างขึ้น ด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตามแรงกอด..
ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ลองตามไปดูคลิปตามลิงค์ด้านล่างได้เลยจ้า...
http://www.youtube.com/watch?v=u2DKXEiGHKs
Equipment
อุปกรณ์หลักๆที่ใช้ในโปรเจคนี้ ก็มีดังนี้คะ
1.LED Strips เป็นพระเอกของproject นี้ ใช้สำหรับสร้างแสงสว่าง
2. Arduino เป็น micro controller สำหรับควบคุมการทำงานทั้งหมด
3.IR เป็น sensor วัดระยะ โดยจะใช้เช็คว่ามีคนเดินผ่ามาในบริเวณนี้หรือไม่
4.MP3 shield เป็นส่วนที่เก็บและส่งเสียงเพลงออกมา
5.Flex sensor เป็นsensor ที่เราเอามาใช้วัดแรงกอด
หลักการทำงาน
เราจะใช้IR sensor (Infrared Sensor ) ในการตรวจเช็คว่า มีคนเดินผ่านในบริเวณนี้ หรือไม่ ?
โดย IR จะ return ค่ามาเป็นค่า analog แสดงระยะความใกล้ไกล
ซึ่งเมื่อถ้ามีคนเดินผ่านมา บริเวณที่ใกล้ตุ๊กตาของเรา ก็จะทำให้ mp3 shield เริ่มทำงาน
และภายใน mp3 shield ก็ได้ใส่ไฟล์เสียง Hug me please เอาไว้ และก็ทำให้ผู้ที่เดินผ่านเข้ามากอดตุ๊กตาของเรา
อีกทั้งภายในตุ๊กตาของเรา ก็ได้ติด flex หรือ force sensor เอาไว้ ทำให้เมื่อเวลาผู้เล่นกอด เท่ากับ เป็นแรงกด ซึ่ง flex หรือ force sensor นี้จะรับ input เข้่ามาเป็น analog จากนั้น เราก็นำค่า analog มาให้ส่งการกำหนด ค่า แสงสว่าของ LED ซึ่งถ้ายิ่งกอดเเรงมาก ก็ยิ่งสว่างมากคะ :)
Scenario
วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557
Service Design (Self-learning in youtube)
ในปัจจุบันได้มีสินค้าออกมามากมายที่แทบจะเหมือนกัน ด้วยราคาที่เท่ากัน
แล้วอะไร ? จะเป็นสิ่งดึงดูดใจให้ ลูกค้า เลือกเข้ามาในร้านของเรา
นั่นก็คือ Service Design หรือ การออกแบบบริการ
การออกแบบบริการ(Service Design ) จะใช้วิธีคิด ด้วยการบริหารการตลาดแบบ 7Ps
โดยต่อยอดมาจาก 4Ps เดิม อันได้แก่
Product - สินค้า หรือบริการ โดยพิจารณาจากการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
Price - ความเหมาะสมของราคา กับคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันอื่นๆ
Place - สถานที่จัดจำหน่าย หรือช่องทางในการจัดจำหน่าย ซึ่งจะพิจารณาจากความสะดวกและปริมาณของลูกค้า
Promotion - การส่งเสริมการขาย ที่จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการซื้อสินค้า
และ เพิ่มอีก 3Ps ดังนี้
People การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้ให้บริการ
Process การออกเเบบระบบให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างสะดวก
Physical Evidence การออกแบบจุดให้บริการเพื่อความสะดวกแก่ลูกค้า
Service Design จะมีขั้นตอนทำงานออกเป็น 3 ส่วน ก็คือ
-Exploration
-Creation
-Implementation :
1.Exploration :การค้นคว้า วิจัย วิเคราะห์ เข้าใจถึงปัญหา ของลูกค้า
Who = ใครคือลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมาย
What = ต้องการอะไร ปัญหาคืออะไร สิ่งที่ต้องแก้ไขคืออะไร
โดยวิธีแก้ไขปัญหา คือ
ลงไปเก็บข้อมูลของลูกค้าด้วยการสังเกตุ
สัมภาษณ์ผู้ใช้บริการ
จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลมาแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆคือ
-Problems: ปัญหาที่พบ
-Opportunities: โอกาสการแก้ปัญหา
-Insights:ความเข้าใจเชิงลึก
-Needs: ความต้องการของลูกค้า
-Themes: การจัดกลุ่ม
สุดท้าย เราก็จะใช้ได้โจทย์ของการออกแบบแนวคิดปัญหาได้อย่างถูกต้องและตอบสนองของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2.Creation : ผลสรุปที่ได้มาออกแบบแนวคิด
หลังจากที่เรารู้ปัญหาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการออกแบบ โดยขั้นแรก Design scenarios จำลองขั้นตอนการให้บริการ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับ Customer Journey ที่ทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งกระบวนการอย่างเป็นขึ้นตอน เเละสุดท้าย เราก็จะได้แนวคิดที่สามารถตอบโจทย์ของปัญหาได้จริง ที่เกิดจากเหตุผลและความคิดสร้างสรรค์ อย่างลงตัว
3.Implementation : ทดลองและปรับปรุงให้แนวคิดใช้ได้จริง
การสร้างแบบจำลองต่างๆ ขึ้นมาลองทดสอบการใช้งานจริง เพื่อดูปฏิกริยาของการใช้งานต่างๆ
พร้อมทั้งมีแบบสอบถามหลังการใช้งาน เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น สุดท้ายมีการพิมพ์เขียวเพื่อให้ลูกค้า และพนักงานทุกระดับชั้น เข้าใจตรงกัน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
Reference:
EP 1 : http://www.youtube.com/watch?v=PZwwQgb47Ug
EP 2 : http://www.youtube.com/watch?v=JMBzJCmtBKw
EP 3 : http://www.youtube.com/watch?v=00oHjIEyn4k
EP 4 : http://www.youtube.com/watch?v=I4etsIV9fjM
แล้วเมื่อเราได้เรียนรู้ Service Design กันแล้ว ก็ลองนำประยุกต์กับของเรากันบ้างคะ
Project ของเราก็คือ Hug me please!
ได้แนวคิดมาจาก "การกอดของคุณสามารถเปลี่ยนเป็นแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่ชาวเขาได้"
โดยนำแนวคิดของ Service Design มาใช้ในการออกแบบ
1.Exploration
ขั้นแรกเราตั้งประเด็นของปัญหาก่อน ก็คือ "ต้องการสร้างแสงสว่างให้แก่ชาวเขา" ดังนั้นอุปกรณ์หลักที่ใช้สร้างแสงสว่างนั่นก็คือ "หลอด LED" เราจึงได้ระดมความคิดภายในกลุ่มว่า อะไรคือสิ่งที่คนแสดงออกถึงความห่วงใย และ กำลังใจแก่ชาวเขาได้ และคำตอบก็คือ "การกอด"
ดังนั้นเราจึงได้ตั้งโจทย์ของปัญหาคือ "การสร้างแสงสว่างให้ชาวเขาที่อยู่ไกล"
2.Creation :
เราจะการจำลองขั้นตอนการทำงานไว้ดังนี้
ขั้นแรกจะตั้งตุ๊กตาไว้ในบริเวณหนึ่ง และ เมื่อมีผู้คนเดินทาง จะส่งเสียงเชิญชวนคนเข้ามา ด้วยคำว่า "Hug me please" และ เมื่อ มีผู้มากอดตุ๊กตาของเรา แสงสว่างในบริเวณก็จะค่อยๆติดขึ้น ตามแรงกดของการกอด
3.Implementation
เราจะนำความรู้ที่ได้รับมาตั้งแต่ปี 1 มาประยุกต์ใช้ และ สร้างสรรค์โปรเจคนี้ โดยคาดว่าอุปกรณ์หลักก็คือ LED,IR Sensor , Flexiforce Sensor และหลังจากที่เราสร้าง prototype ตัวแรกสำเร็จ ก็จะนำมาให้เพื่อนในclass ช่วยกัน discuss รวมทั้งตอบแบบสอบถาม เพื่อปรับปรุงแก้ไขชิ้นงานของเราให้ดีขึ้น สำหรับการสร้างของจริงในอนาคต
แล้วอะไร ? จะเป็นสิ่งดึงดูดใจให้ ลูกค้า เลือกเข้ามาในร้านของเรา
นั่นก็คือ Service Design หรือ การออกแบบบริการ
การออกแบบบริการ(Service Design ) จะใช้วิธีคิด ด้วยการบริหารการตลาดแบบ 7Ps
โดยต่อยอดมาจาก 4Ps เดิม อันได้แก่
Product - สินค้า หรือบริการ โดยพิจารณาจากการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
Price - ความเหมาะสมของราคา กับคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันอื่นๆ
Place - สถานที่จัดจำหน่าย หรือช่องทางในการจัดจำหน่าย ซึ่งจะพิจารณาจากความสะดวกและปริมาณของลูกค้า
Promotion - การส่งเสริมการขาย ที่จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการซื้อสินค้า
และ เพิ่มอีก 3Ps ดังนี้
People การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้ให้บริการ
Process การออกเเบบระบบให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างสะดวก
Physical Evidence การออกแบบจุดให้บริการเพื่อความสะดวกแก่ลูกค้า
Service Design จะมีขั้นตอนทำงานออกเป็น 3 ส่วน ก็คือ
-Exploration
-Creation
-Implementation :
1.Exploration :การค้นคว้า วิจัย วิเคราะห์ เข้าใจถึงปัญหา ของลูกค้า
Who = ใครคือลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมาย
What = ต้องการอะไร ปัญหาคืออะไร สิ่งที่ต้องแก้ไขคืออะไร
โดยวิธีแก้ไขปัญหา คือ
ลงไปเก็บข้อมูลของลูกค้าด้วยการสังเกตุ
สัมภาษณ์ผู้ใช้บริการ
จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลมาแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆคือ
-Problems: ปัญหาที่พบ
-Opportunities: โอกาสการแก้ปัญหา
-Insights:ความเข้าใจเชิงลึก
-Needs: ความต้องการของลูกค้า
-Themes: การจัดกลุ่ม
สุดท้าย เราก็จะใช้ได้โจทย์ของการออกแบบแนวคิดปัญหาได้อย่างถูกต้องและตอบสนองของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2.Creation : ผลสรุปที่ได้มาออกแบบแนวคิด
หลังจากที่เรารู้ปัญหาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการออกแบบ โดยขั้นแรก Design scenarios จำลองขั้นตอนการให้บริการ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับ Customer Journey ที่ทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งกระบวนการอย่างเป็นขึ้นตอน เเละสุดท้าย เราก็จะได้แนวคิดที่สามารถตอบโจทย์ของปัญหาได้จริง ที่เกิดจากเหตุผลและความคิดสร้างสรรค์ อย่างลงตัว
3.Implementation : ทดลองและปรับปรุงให้แนวคิดใช้ได้จริง
การสร้างแบบจำลองต่างๆ ขึ้นมาลองทดสอบการใช้งานจริง เพื่อดูปฏิกริยาของการใช้งานต่างๆ
พร้อมทั้งมีแบบสอบถามหลังการใช้งาน เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น สุดท้ายมีการพิมพ์เขียวเพื่อให้ลูกค้า และพนักงานทุกระดับชั้น เข้าใจตรงกัน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
Reference:
EP 1 : http://www.youtube.com/watch?v=PZwwQgb47Ug
EP 2 : http://www.youtube.com/watch?v=JMBzJCmtBKw
EP 3 : http://www.youtube.com/watch?v=00oHjIEyn4k
EP 4 : http://www.youtube.com/watch?v=I4etsIV9fjM
แล้วเมื่อเราได้เรียนรู้ Service Design กันแล้ว ก็ลองนำประยุกต์กับของเรากันบ้างคะ
Project ของเราก็คือ Hug me please!
ได้แนวคิดมาจาก "การกอดของคุณสามารถเปลี่ยนเป็นแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่ชาวเขาได้"
โดยนำแนวคิดของ Service Design มาใช้ในการออกแบบ
1.Exploration
ขั้นแรกเราตั้งประเด็นของปัญหาก่อน ก็คือ "ต้องการสร้างแสงสว่างให้แก่ชาวเขา" ดังนั้นอุปกรณ์หลักที่ใช้สร้างแสงสว่างนั่นก็คือ "หลอด LED" เราจึงได้ระดมความคิดภายในกลุ่มว่า อะไรคือสิ่งที่คนแสดงออกถึงความห่วงใย และ กำลังใจแก่ชาวเขาได้ และคำตอบก็คือ "การกอด"
ดังนั้นเราจึงได้ตั้งโจทย์ของปัญหาคือ "การสร้างแสงสว่างให้ชาวเขาที่อยู่ไกล"
2.Creation :
เราจะการจำลองขั้นตอนการทำงานไว้ดังนี้
ขั้นแรกจะตั้งตุ๊กตาไว้ในบริเวณหนึ่ง และ เมื่อมีผู้คนเดินทาง จะส่งเสียงเชิญชวนคนเข้ามา ด้วยคำว่า "Hug me please" และ เมื่อ มีผู้มากอดตุ๊กตาของเรา แสงสว่างในบริเวณก็จะค่อยๆติดขึ้น ตามแรงกดของการกอด
3.Implementation
เราจะนำความรู้ที่ได้รับมาตั้งแต่ปี 1 มาประยุกต์ใช้ และ สร้างสรรค์โปรเจคนี้ โดยคาดว่าอุปกรณ์หลักก็คือ LED,IR Sensor , Flexiforce Sensor และหลังจากที่เราสร้าง prototype ตัวแรกสำเร็จ ก็จะนำมาให้เพื่อนในclass ช่วยกัน discuss รวมทั้งตอบแบบสอบถาม เพื่อปรับปรุงแก้ไขชิ้นงานของเราให้ดีขึ้น สำหรับการสร้างของจริงในอนาคต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)